CFD เป็นตราสารที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงในการสูญเสียเงินอย่างรวดเร็วเนื่องจากเลเวอเรจ 76% ของบัญชีนักลงทุนรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการซื้อขาย CFD กับผู้ให้บริการนี้ คุณควรพิจารณาว่าคุณเข้าใจวิธีการทำงานของ CFD และคุณสามารถรับความเสี่ยงสูงจากการสูญเสียเงินได้หรือไม่

Passive Investing และ Active Investing แตกต่างกันอย่างไร กลยุทธ์การลงทุนแบบใดที่ตอบโจทย์
Passive Investing และ Active Investing คืออะไร?
- 
Passive Investing คืออะไร?
 
Passive Investing หรือการลงทุนแบบเชิงรับ เป็นแนวทางที่เน้นการลงทุนตามดัชนีตลาด เช่น S&P 500 หรือ MSCI World Index นักลงทุนจะไม่พยายามเลือกหุ้นรายตัว แต่ใช้กองทุนดัชนีหรือ ETF ที่ออกแบบให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับดัชนี การลงทุนแนวนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างพอร์ตในระยะยาว และไม่ต้องการเฝ้าตลาดบ่อย
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Passive Investing ได้ที่บทความ Passive Investing คืออะไร?
- 
Active Investing คืออะไร?
 
Active Investing หรือการลงทุนแบบเชิงรุก เป็นแนวทางที่นักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์ เลือกหุ้น หรือสินทรัพย์ที่คิดว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด การจัดพอร์ตมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามภาวะเศรษฐกิจและทิศทางของตลาด
อ่านเพิ่มเติมแบบเจาะลึกเกี่ยวกับ Active Investing กับ Passive Investing
การลงทุนแบบ Passive และ Active มีอะไรบ้าง
การลงทุนแบบ passive หรือการลงทุนเชิงรับ ส่วนใหญ่จะเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่ไม่มีเวลาเลือกหุ้นรายตัวหรือวิเคราะห์ตลาดมากนัก นักลงทุนส่วนใหญ่จึงเลือกลงทุนในรูปแบบของ กองทุน มากกว่าการลงทุนแบบ active หรือการลงทุนเชิงรุกที่จะเน้นไปที่กองทุนหรือหุ้นรายตัวที่มีอนาคตจะเติบโตได้สูงโดยเป้าหมายหลักคือ การเอาชนะตลาด
กองทุนแบบ Passive Fund มีอะไรบ้าง?
- กองทุนดัชนีหุ้นโลก เช่น MSCI World, S&P 500
 - กองทุนตราสารหนี้ เช่น Bloomberg Global Bond Index
 - กองทุนทองคำ หรือ ETF ทองคำ เช่น SPDR Gold Shares
 
นักลงทุนหลายคนมักจัดพอร์ตในสัดส่วนโดยประมาณ เช่น 60% หุ้นโลก / 30% ตราสารหนี้ / 10% ทองคำ เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยม เพราะเข้าใจง่าย และครอบคลุม 3 สินทรัพย์หลักในการกระจายความเสี่ยง แนวทางนี้เรียกว่า 3-Asset Portfolio เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบเรียบง่าย ถือยาว และปล่อยให้ตลาดทำงานแทนเรา 1
กองทุน Active Fund มีอะไรบ้าง?
การลงทุนแบบ Active นอกจากการซื้อหุ้นรายตัวแล้ว ยังมีสินทรัพย์อย่างกองทุนแบบ Active ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท เช่น
- กองทุนหุ้นเติบโต (Growth Fund) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี หรือธุรกิจนวัตกรรม
 
- กองทุนหุ้นคุณค่า (Value Fund) ลงทุนในหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน โดยหวังว่าจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว
 
- กองทุนผสม (Mixed Asset Fund) กระจายลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้
 
กองทุนเหล่านี้มีความเสี่ยงกว่าเพราะผู้จัดการกองทุนพยายามเลือกสินทรัพย์เพื่อเอาชนะตลาด ค่าใช้จ่ายจึงสูงขึ้น และพอร์ตมีโอกาสผันผวนมากกว่าแบบ Passive 2
เรียนรู้เทคนิคการจัดการเพิ่มเติมได้ที่ การบริหารความเสี่ยงในการเทรดและการลงทุนในหุ้น
ความแตกต่างระหว่าง Passive Investing และ Active Investing
Passive Investing คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่ติดตามดัชนีตลาด เช่น S&P 500 หรือ MSCI World โดยไม่พยายามเลือกหุ้นรายตัว กลยุทธ์นี้เน้นการถือระยะยาว มีค่าธรรมเนียมต่ำ ไม่ต้องปรับพอร์ตบ่อย และช่วยลดอิทธิพลของอารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบเรียบง่ายและมั่นคง
นักลงทุนแบบ Passive มักใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) คือการทยอยลงทุนจำนวนเงินเท่า ๆ กันในทุกเดือน เพื่อกระจายต้นทุน ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และสร้างวินัยในการลงทุนระยะยาว
ในทางกลับกัน Active Investing คือแนวทางที่เน้นการวิเคราะห์ตลาด คัดเลือกหุ้น ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ เพื่อหวังสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด กลยุทธ์นี้อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในบางช่วง แต่ต้องแลกมากับค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า ความผันผวนที่มากขึ้น และต้องใช้เวลา ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการตัดสินใจ
ที่ IUX เราออกแบบแพลตฟอร์มให้เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่ติดตามดัชนีชั้นนำ เครื่องมือวิเคราะห์ที่ใช้งานง่าย ไปจนถึงระบบช่วยลงทุนอัตโนมัติ คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนแบบ DCA ได้ภายในไม่กี่คลิก พร้อมกำหนดแผนการลงทุนรายเดือนตามเป้าหมายของคุณ
สมัครและร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ IUX วันนี้ แล้วเริ่มสร้างพอร์ตของคุณไปกับเรา
ข้อดี-ข้อเสียของ Passive Investing และ Active Investing
ข้อดีของ Passive Investing
- 
ค่าธรรมเนียมต่ำ
 - 
ไม่ต้องเฝ้าตลาดทุกวัน
 - 
เหมาะกับผู้ที่มีงานประจำหรือไม่มีเวลาวิเคราะห์หุ้น
 - 
ลดอารมณ์จากการตัดสินใจลงทุนผิดพลาด
 
ข้อเสียของ Passive Investing
- 
ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ในช่วงที่มีโอกาส
 - 
ต้องยอมรับการลงทุนในหุ้นทุกตัวที่อยู่ในดัชนี แม้บางตัวอาจไม่น่าสนใจ
 
ข้อดีของ Active Investing
- 
มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตลาด
 - 
ปรับพอร์ตได้ตามสถานการณ์เศรษฐกิจ
 - 
เหมาะกับผู้มีทักษะการวิเคราะห์ขั้นสูง
 
ข้อเสียของ Active Investing
- 
ค่าธรรมเนียมสูง
 - 
ความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาดจากอารมณ์หรือข้อมูลผิด
 
ลงทุน Passive Investing หรือ Active Investing แบบไหนดีกว่ากัน?
การเลือกระหว่าง Passive และ Active Investing ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะแต่ละแนวทางเหมาะกับคนที่มีเป้าหมายและวิธีคิดต่างกัน
- 
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ ไม่มีเวลาติดตามตลาด และมองการลงทุนระยะยาวเพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างมั่นคง Passive Investing อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุด
 - 
แต่ถ้าคุณพร้อมศึกษาข้อมูล มีประสบการณ์ และรับความเสี่ยงได้ดี Active Investing อาจสร้างโอกาสในการทำผลตอบแทนที่สูงกว่า
 
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่เลือกแนวทางไหนดีกว่า แต่คือการเลือกให้สอดคล้องกับตัวคุณเอง ทั้งเป้าหมายทางการเงิน ไลฟ์สไตล์ และความถนัดในการลงทุน
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน


