รู้จัก Passive Investing ทางเลือกการลงทุนในระยะยาว สร้างพอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง

รู้จัก Passive Investing ทางเลือกการลงทุนในระยะยาว สร้างพอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง

ผู้เริ่มต้น
May 20, 2025
ลงทุนแบบ Passive สร้างผลตอบแทนระยะยาว ลดความเสี่ยง ไม่ต้องเฝ้าตลาด เหมาะกับมือใหม่และคนไม่มีเวลาดูพอร์ตทุกวัน

Passive Investing ทางเลือกการลงทุนที่ทุกคนกำลังสนใจ

ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันมามองหาวิธีการลงทุนที่ไม่ต้องจับจังหวะตลาด ไม่ต้องเฝ้ากราฟทุกวัน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในระดับโลกคือ Passive Investing หรือการลงทุนเชิงรับที่ยึดตามดัชนีตลาด

 


 

Passive Investing คืออะไร?

Passive Investing หรือ การลงทุนแบบเชิงรับ เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาด โดยไม่พยายามเอาชนะตลาดผ่านการซื้อขายหรือคัดเลือกสินทรัพย์รายตัวแบบเชิงรุก จุดเด่นของแนวทางนี้อยู่ที่การลงทุนตามดัชนีอ้างอิง (Benchmark) เช่น ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ในแต่ละตลาด โดยที่ไม่พยายามเลือก “หุ้นที่ดีที่สุด” หรือหลีกเลี่ยง “หุ้นที่แย่ที่สุด” แต่ลงทุนให้สอดคล้องกับน้ำหนักของดัชนีในภาพรวม

เครื่องมือที่นิยมใช้ใน Passive Investing คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) และ ETF ซึ่งถูกออกแบบมาให้เลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี เช่น หากดัชนีอ้างอิงปรับขึ้น 5% กองทุนก็จะพยายามทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงที่สุด เช่น +4.9% หรือ +5.1% เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: [Passive Investing vs. Active Investing คืออะไร? กลยุทธ์การลงทุนแบบใดที่ตอบโจทย์]

 


 

ทำไมกลยุทธ์ Passive Investing ถึงได้รับความนิยมในยุคนี้?

  • เหมาะกับคนทำงานประจำ ไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ

นักลงทุนที่มีภาระงานประจำ หรือไม่มีเวลาศึกษาหุ้นเชิงลึก สามารถลงทุนในดัชนีตลาดได้โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว

  • ค่าธรรมเนียมต่ำ

เนื่องจากไม่ต้องมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับพอร์ตตลอดเวลา กองทุนดัชนีและ ETF จึงมีค่าใช้จ่ายรวม (TER) ต่ำกว่ากองทุนเชิงรุกมาก เช่น Vanguard S&P 500 ETF มีค่า TER เพียง 0.03% (ข้อมูลจาก Vanguard, 2024)

  • ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวเหนือกว่า Active Fund

จากรายงานของ SPIVA U.S. Scorecard (2023) พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กองทุนแบบ Active กว่า 85% ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี S&P 500

  • สะดวกและต้นทุนต่ำ

นักลงทุนสามารถซื้อ ETF ได้เหมือนซื้อหุ้นตัวหนึ่งในตลาด เปิดบัญชีครั้งเดียว ลงทุนได้ทั่วโลก และยังสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียงหลักพันบาท 1

 


 

Passive Investing เหมาะกับใคร?

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาการลงทุนระยะยาว ที่ไม่ต้องวุ่นวายกับการจับจังหวะตลาดหรือคัดหุ้นรายตัวทุกวัน  Passive Investing อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ

กลุ่มนักลงทุนที่เหมาะกับแนวทางนี้ ได้แก่

  • กลุ่มนักลงทุนมือใหม่

ที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่ตลาด ยังไม่มีประสบการณ์วิเคราะห์งบการเงินหรือแนวโน้มธุรกิจ การเริ่มต้นด้วยการลงทุนในกองทุนดัชนีหรือ ETF ที่กระจายความเสี่ยงในระดับตลาด ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยและไม่ซับซ้อน

  • ผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้าพอร์ต

หากคุณมีงานประจำ หรือมีภาระหน้าที่อื่นที่ไม่สามารถติดตามตลาดได้ตลอดเวลา การลงทุนแบบ Passive จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินระยะยาวได้โดยไม่ต้องเปิดแอปเทรดทุกวัน

  • นักลงทุนเพื่อเกษียณ

คนที่มีเป้าหมายชัดเจน เช่น การสร้างพอร์ตเพื่อใช้ในวัยเกษียณ ยิ่งต้องเน้นความมั่นคง การถือกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและผลตอบแทนใกล้เคียงตลาด ถือเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ระยะยาวได้ดี

  • ผู้ที่ต้องการสร้างอิสรภาพทางการเงิน

กลุ่มนี้คือคนที่ต้องการให้เงินทำงานแทนตัวเอง โดยไม่ต้องใช้พลังมากกับการบริหารพอร์ตทุกวัน Passive Investing จึงเหมาะสำหรับการสะสมความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยวินัยและเวลาเป็นเครื่องมือหลัก

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ Passive Investing เหมาะกับนักลงทุนแทบทุกประเภท โดยเฉพาะคนที่เชื่อในแนวคิด “ลงทุนแล้วถือยาว” เพราะ เมื่อมองในระยะยาว สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การเลือกหุ้นให้ถูกทุกตัว แต่คือการ “อยู่ในตลาดได้นานพอ” และลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด 2

พร้อมเริ่มต้นการลงทุนหรือยัง? เปลี่ยนแนวคิดการลงทุนให้กลายเป็นแผนการเงินระยะยาวกับเรา สมัครและร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ IUX ตอนนี้เพื่อวางรากฐานทางการเงินที่มั่นคงไปด้วยกัน

 


 

ตัวอย่างการจัดพอร์ตแบบ Passive Investing

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเริ่มต้นสร้างพอร์ตแบบง่าย ใช้เวลาในการจัดการน้อย และกระจายความเสี่ยงอย่างมีระบบ การลงทุนแบบ Passive สามารถออกแบบให้เหมาะกับทุกระดับความเข้าใจ โดยมีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบเรียบง่าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่างที่ 1: พอร์ตกระจายความเสี่ยงแบบคลาสสิก

เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความสมดุลระหว่างการเติบโตและความมั่นคง

    • Global Equity ETF (หุ้นทั่วโลก): 60%

    • Bond ETF (พันธบัตรรัฐบาลระยะกลาง-ยาว): 30%

    • Gold ETF (ทองคำ): 10%

พอร์ตแบบนี้ช่วยให้คุณรับโอกาสจากการเติบโตของตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ยังมีส่วนที่คอยลดความผันผวนในช่วงตลาดปรับฐาน ด้วยพันธบัตรและทองคำที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันความผันผวนของพอร์ต

ตัวอย่างที่ 2: พอร์ตเรียบง่ายแบบดัชนีเดียวจบ

เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกที่สุด โดยไม่ต้องจัดพอร์ตหลายชั้น

    • ลงทุน 100% ใน ETF ที่อิงกับดัชนีตลาดโลก เช่น MSCI World Index หรือ FTSE All World Index
      ตัวอย่างที่นิยม ได้แก่ Vanguard FTSE All-World UCITS ETF (VWRL) ซึ่งกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก ทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่

ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือช่วยให้พอร์ตลงทุนของคุณกระจายความเสี่ยงอัตโนมัติในหลายระดับ ทั้งประเทศ ภาคอุตสาหกรรม และสกุลเงิน โดยไม่ต้องวิเคราะห์หรือเลือกหุ้นรายตัวเลย

กลยุทธ์แบบนี้ไม่เพียงตอบโจทย์คนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินอย่างมีวินัย โดยเน้นการถือครองอย่างต่อเนื่องและลดการปรับพอร์ตที่ไม่จำเป็น 3

 บทความที่คุณอาจสนใจ ETF เหมาะกับใคร? มือใหม่ลงทุนได้ง่าย ๆ แม้ไม่มีเวลา

 


 

สรุป

Passive Investing ไม่ใช่แค่แนวคิดการลงทุนแบบ “ไม่ต้องทำอะไร” แต่เป็นกลยุทธ์ที่แต่เป็นกลยุทธ์ที่มีการวางแผน กระจายความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และผ่านการพิสูจน์จากข้อมูลจริงระดับโลกแล้วว่าผ่านการพิสูจน์จากข้อมูลจริงในระดับโลกแล้วว่า สามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่มั่นคง และช่วยลดความเครียดจากการลงทุนระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ คนทำงานประจำ หรือแม้แต่นักลงทุนมืออาชีพที่ต้องการความสมดุลในพอร์ต ก็สามารถใช้แนวทาง Passive Investing เพื่อเป็นแกนหลักของการวางแผนการเงินระยะยาวได้

เพราะการลงทุนที่ดี ไม่ได้อยู่ที่การเลือกหุ้นถูกตัวเสมอไป แต่อยู่ที่ความมีวินัยและการอยู่ในตลาดได้นานพอต่างหาก

 

 

 

 

 

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน