
รู้จัก Passive Investing ทางเลือกการลงทุนในระยะยาว สร้างพอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง
Passive Investing ทางเลือกการลงทุนที่ทุกคนกำลังสนใจ
ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันมามองหาวิธีการลงทุนที่ไม่ต้องจับจังหวะตลาด ไม่ต้องเฝ้ากราฟทุกวัน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในระดับโลกคือ Passive Investing หรือการลงทุนเชิงรับที่ยึดตามดัชนีตลาด
Passive Investing คืออะไร?
Passive Investing หรือ การลงทุนแบบเชิงรับ เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาด โดยไม่พยายามเอาชนะตลาดผ่านการซื้อขายหรือคัดเลือกสินทรัพย์รายตัวแบบเชิงรุก จุดเด่นของแนวทางนี้อยู่ที่การลงทุนตามดัชนีอ้างอิง (Benchmark) เช่น ดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ในแต่ละตลาด โดยที่ไม่พยายามเลือก “หุ้นที่ดีที่สุด” หรือหลีกเลี่ยง “หุ้นที่แย่ที่สุด” แต่ลงทุนให้สอดคล้องกับน้ำหนักของดัชนีในภาพรวม
เครื่องมือที่นิยมใช้ใน Passive Investing คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) และ ETF ซึ่งถูกออกแบบมาให้เลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี เช่น หากดัชนีอ้างอิงปรับขึ้น 5% กองทุนก็จะพยายามทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงที่สุด เช่น +4.9% หรือ +5.1% เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติม: [Passive Investing vs. Active Investing คืออะไร? กลยุทธ์การลงทุนแบบใดที่ตอบโจทย์]
ทำไมกลยุทธ์ Passive Investing ถึงได้รับความนิยมในยุคนี้?
-
เหมาะกับคนทำงานประจำ ไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ
นักลงทุนที่มีภาระงานประจำ หรือไม่มีเวลาศึกษาหุ้นเชิงลึก สามารถลงทุนในดัชนีตลาดได้โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว
-
ค่าธรรมเนียมต่ำ
เนื่องจากไม่ต้องมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับพอร์ตตลอดเวลา กองทุนดัชนีและ ETF จึงมีค่าใช้จ่ายรวม (TER) ต่ำกว่ากองทุนเชิงรุกมาก เช่น Vanguard S&P 500 ETF มีค่า TER เพียง 0.03% (ข้อมูลจาก Vanguard, 2024)
-
ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวเหนือกว่า Active Fund
จากรายงานของ SPIVA U.S. Scorecard (2023) พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กองทุนแบบ Active กว่า 85% ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี S&P 500
-
สะดวกและต้นทุนต่ำ
นักลงทุนสามารถซื้อ ETF ได้เหมือนซื้อหุ้นตัวหนึ่งในตลาด เปิดบัญชีครั้งเดียว ลงทุนได้ทั่วโลก และยังสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียงหลักพันบาท 1
Passive Investing เหมาะกับใคร?
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาการลงทุนระยะยาว ที่ไม่ต้องวุ่นวายกับการจับจังหวะตลาดหรือคัดหุ้นรายตัวทุกวัน Passive Investing อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ
กลุ่มนักลงทุนที่เหมาะกับแนวทางนี้ ได้แก่
-
กลุ่มนักลงทุนมือใหม่
ที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่ตลาด ยังไม่มีประสบการณ์วิเคราะห์งบการเงินหรือแนวโน้มธุรกิจ การเริ่มต้นด้วยการลงทุนในกองทุนดัชนีหรือ ETF ที่กระจายความเสี่ยงในระดับตลาด ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยและไม่ซับซ้อน
-
ผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้าพอร์ต
หากคุณมีงานประจำ หรือมีภาระหน้าที่อื่นที่ไม่สามารถติดตามตลาดได้ตลอดเวลา การลงทุนแบบ Passive จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินระยะยาวได้โดยไม่ต้องเปิดแอปเทรดทุกวัน
-
นักลงทุนเพื่อเกษียณ
คนที่มีเป้าหมายชัดเจน เช่น การสร้างพอร์ตเพื่อใช้ในวัยเกษียณ ยิ่งต้องเน้นความมั่นคง การถือกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและผลตอบแทนใกล้เคียงตลาด ถือเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ระยะยาวได้ดี
-
ผู้ที่ต้องการสร้างอิสรภาพทางการเงิน
กลุ่มนี้คือคนที่ต้องการให้เงินทำงานแทนตัวเอง โดยไม่ต้องใช้พลังมากกับการบริหารพอร์ตทุกวัน Passive Investing จึงเหมาะสำหรับการสะสมความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยวินัยและเวลาเป็นเครื่องมือหลัก
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ Passive Investing เหมาะกับนักลงทุนแทบทุกประเภท โดยเฉพาะคนที่เชื่อในแนวคิด “ลงทุนแล้วถือยาว” เพราะ เมื่อมองในระยะยาว สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การเลือกหุ้นให้ถูกทุกตัว แต่คือการ “อยู่ในตลาดได้นานพอ” และลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด 2
พร้อมเริ่มต้นการลงทุนหรือยัง? เปลี่ยนแนวคิดการลงทุนให้กลายเป็นแผนการเงินระยะยาวกับเรา สมัครและร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ IUX ตอนนี้เพื่อวางรากฐานทางการเงินที่มั่นคงไปด้วยกัน
ตัวอย่างการจัดพอร์ตแบบ Passive Investing
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเริ่มต้นสร้างพอร์ตแบบง่าย ใช้เวลาในการจัดการน้อย และกระจายความเสี่ยงอย่างมีระบบ การลงทุนแบบ Passive สามารถออกแบบให้เหมาะกับทุกระดับความเข้าใจ โดยมีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบเรียบง่าย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างที่ 1: พอร์ตกระจายความเสี่ยงแบบคลาสสิก
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความสมดุลระหว่างการเติบโตและความมั่นคง
-
-
Global Equity ETF (หุ้นทั่วโลก): 60%
-
Bond ETF (พันธบัตรรัฐบาลระยะกลาง-ยาว): 30%
-
Gold ETF (ทองคำ): 10%
-
พอร์ตแบบนี้ช่วยให้คุณรับโอกาสจากการเติบโตของตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ยังมีส่วนที่คอยลดความผันผวนในช่วงตลาดปรับฐาน ด้วยพันธบัตรและทองคำที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันความผันผวนของพอร์ต
ตัวอย่างที่ 2: พอร์ตเรียบง่ายแบบดัชนีเดียวจบ
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกที่สุด โดยไม่ต้องจัดพอร์ตหลายชั้น
-
-
ลงทุน 100% ใน ETF ที่อิงกับดัชนีตลาดโลก เช่น MSCI World Index หรือ FTSE All World Index
ตัวอย่างที่นิยม ได้แก่ Vanguard FTSE All-World UCITS ETF (VWRL) ซึ่งกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก ทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่
-
ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือช่วยให้พอร์ตลงทุนของคุณกระจายความเสี่ยงอัตโนมัติในหลายระดับ ทั้งประเทศ ภาคอุตสาหกรรม และสกุลเงิน โดยไม่ต้องวิเคราะห์หรือเลือกหุ้นรายตัวเลย
กลยุทธ์แบบนี้ไม่เพียงตอบโจทย์คนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินอย่างมีวินัย โดยเน้นการถือครองอย่างต่อเนื่องและลดการปรับพอร์ตที่ไม่จำเป็น 3
บทความที่คุณอาจสนใจ ETF เหมาะกับใคร? มือใหม่ลงทุนได้ง่าย ๆ แม้ไม่มีเวลา
สรุป
Passive Investing ไม่ใช่แค่แนวคิดการลงทุนแบบ “ไม่ต้องทำอะไร” แต่เป็นกลยุทธ์ที่แต่เป็นกลยุทธ์ที่มีการวางแผน กระจายความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และผ่านการพิสูจน์จากข้อมูลจริงระดับโลกแล้วว่าผ่านการพิสูจน์จากข้อมูลจริงในระดับโลกแล้วว่า สามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่มั่นคง และช่วยลดความเครียดจากการลงทุนระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ คนทำงานประจำ หรือแม้แต่นักลงทุนมืออาชีพที่ต้องการความสมดุลในพอร์ต ก็สามารถใช้แนวทาง Passive Investing เพื่อเป็นแกนหลักของการวางแผนการเงินระยะยาวได้
เพราะการลงทุนที่ดี ไม่ได้อยู่ที่การเลือกหุ้นถูกตัวเสมอไป แต่อยู่ที่ความมีวินัยและการอยู่ในตลาดได้นานพอต่างหาก
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน