
Passive Investing คืออะไร? วิธีเริ่มต้นและข้อดีของกลยุทธ์ลงทุนระยะยาวแบบไม่ต้องเฝ้าพอร์ต
Passive Investing คืออะไร?
Passive Investing หรือการลงทุนแบบเชิงรับ คือกลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของตลาด โดยไม่พยายามเอาชนะตลาดด้วยการเลือกหุ้นรายตัวหรือจับจังหวะการซื้อขายเหมือนในแบบ Active Investing
กลยุทธ์นี้นิยมใช้ผ่านเครื่องมืออย่างกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือ ETF ที่ออกแบบมาให้เคลื่อนไหวตามดัชนีอ้างอิง เช่น S&P 500 หรือ MSCI World ซึ่งหมายความว่า หากดัชนีปรับขึ้น 5% กองทุนเหล่านี้ก็จะมีผลตอบแทนใกล้เคียงกัน ลดความจำเป็นในการบริหารพอร์ตแบบเชิงรุก และตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการการเติบโตระยะยาวโดยไม่ต้องเฝ้าตลาดทุกวัน
แตกต่างจาก Active Investing อย่างไร?
Passive Investing เน้นการลงทุนตามดัชนี ไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัวหรือซื้อขายบ่อย ๆ ผู้ลงทุนเพียงแค่ถือตามน้ำหนักของดัชนี เช่น S&P 500 หรือ MSCI World ปล่อยให้พอร์ตเติบโตไปพร้อมกับตลาดในระยะยาว ซึ่งช่วยลดต้นทุน ค่าธรรมเนียม และแรงกดดันจากการตัดสินใจรายวัน
ในทางตรงกันข้าม Active Investing คือการพยายามเอาชนะตลาดด้วยการวิเคราะห์ เลือกหุ้น หรือจับจังหวะเข้า-ออก โดยเชื่อว่าผลตอบแทนจะสูงกว่าตลาดหากทำได้ถูกต้อง แต่ก็มาพร้อมกับค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า และความเสี่ยงจากความผันผวนที่มากขึ้น 1
บทความที่คุณอาจสนใจ :
ทำไมกลยุทธ์นี้ถึงได้รับความนิยม?
ในระยะยาว นักลงทุนจำนวนไม่น้อยพบว่า กองทุนแบบ Passive สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่ากองทุนแบบ Active แถมยังมีระดับความผันผวนที่ต่ำกว่าในหลายช่วงเวลา นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่นักลงทุนทั่วโลก
ข้อดีของ Passive Investing สำหรับนักลงทุนระยะยาว
-
ค่าธรรมเนียมต่ำ
กองทุน Passive มักมีค่าใช้จ่ายรวม (TER) ต่ำกว่ากองทุนเชิงรุก เพราะไม่ต้องมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับพอร์ตอยู่ตลอดเวลา
-
ไม่ต้องเฝ้าตลาดทุกวัน
คุณไม่จำเป็นต้องติดตามข่าวเศรษฐกิจหรือจับจังหวะตลาด สามารถปล่อยให้พอร์ตเติบโตเองในระยะยาว
-
เหมาะกับคนมีงานประจำ
หากคุณไม่มีเวลาศึกษาตลาดลึก ๆ หรือดูพอร์ตทุกวัน กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง
-
ลดอารมณ์ในการตัดสินใจ
เมื่อไม่ต้องตัดสินใจซื้อขายบ่อย นักลงทุนจะลดความเครียดและความลังเล ซึ่งมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
-
ความเสี่ยงต่ำกว่าการเทรดเอง
ด้วยการกระจายความเสี่ยงในระดับประเทศ อุตสาหกรรม และสกุลเงิน การลงทุนแบบ Passive ช่วยลดโอกาสขาดทุนจากปัจจัยเฉพาะตัว 2
เริ่มต้น Passive Investing สำหรับมือใหม่อย่างไรดี?
ทำความรู้จักกับกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) และ ETF
การลงทุนทั้งสองประเภทนี้มีเป้าหมายเดียวกัน คือเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี แต่มีข้อแตกต่างเล็กน้อย เช่น
-
-
Index Fund: เป็นกองทุนรวมที่บริหารโดยบริษัทจัดการกองทุน ผู้ลงทุนสามารถซื้อ-ขายได้วันละครั้งตามมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ณ สิ้นวัน
-
ETF (Exchange-Traded Fund): ซื้อ-ขายด้วยราคาแบบเรียลไทม์ได้เหมือนหุ้นบนตลาดหลักทรัพย์
-
เริ่มต้นด้วยการลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging)
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) คือการลงทุนเป็นประจำทุกเดือนด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กัน วิธีนี้ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด และเหมาะกับมือใหม่
อ่านเพิ่มเติม: DCA: กลยุทธลงทุนแบบเข้าใจง่ายที่ใครก็ทำได้
จัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับเป้าหมาย
กำหนดสัดส่วนการลงทุนระหว่างสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และทองคำ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของคุณ 3
หากคุณสนใจเรื่องการกระจายตวามเสี่ยงในการลงทุน
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ : กระจายพอร์ตหุ้นอย่างไร ให้เติบโตได้ในระยะยาว?
สรุป
การลงทุนแบบไม่ต้องเฝ้าพอร์ต ไม่ใช่เพียงแค่ความสะดวก แต่คือแนวทางที่มีข้อมูลรองรับ และเหมาะกับนักลงทุนทุกระดับ โดยเฉพาะมือใหม่หรือคนที่มีภารกิจอื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน
คุณสามารถเริ่มต้น Passive Investing ได้ทันที กับ IUX แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับนักลงทุนทุกคน พร้อมเครื่องมือช่วยลงทุนอัตโนมัติที่เข้าใจง่ายและปลอดภัย
เริ่มต้น Passive Investing กับ IUX วันนี้ คลิกเพื่อเปิดบัญชี
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน