
การบริหารความเสี่ยงในเทรดและการลงทุนในหุ้น: วิธีลดความเสี่ยงและสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง
การบริหารความเสี่ยงในเทรดและการลงทุนในหุ้น: วิธีลดความเสี่ยงและสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง
ในปัจจุบันที่หลายคนให้ความสนใจกับการลงทุนในหุ้นและการเทรดหุ้น นักเทรดและนักลงทุนทุกคงคนรู้ดีอยู่แล้วว่า กำไรและขาดทุนนั้นเป็นของคู่กัน แต่สิ่งที่แยกนักลงทุนและเทรดเดอร์มือสมัครเล่นออกจากมืออาชีพก็คือ "การบริหารความเสี่ยง" ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์สายเทคนิคหรือเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าและพื้นฐาน แน่นอนว่าความสามารถในการปกป้องเงินทุนนั้นสำคัญพอๆ กับการมองหาผลกำไร
แต่ตลาดที่หุ้นเต็มไปด้วยความผันผวน ไม่ว่าจะจากข่าวเศรษฐกิจ ปัจจัยภายนอก หรือแม้แต่แรงซื้อขายจากนักลงทุนที่คาดเดาได้ยาก ปัจจัยเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแนวโน้มของราคาหุ้นได้ในพริบตา หากไม่มีแผนบริหารความเสี่ยงที่ดี พอร์ตของคุณอาจพังลงได้เร็วกว่าที่คิด
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก กลยุทธ์สำคัญในการลดความเสี่ยง ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์รายวัน หรือเป็นนักลงทุนระยะยาว เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงและรักษาพอร์ตให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
เข้าใจความเสี่ยงและอย่าปล่อยให้ตลาดควบคุมคุณ
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของนักเทรดและนักลงทุนคือคิดว่าตนเองเข้าใจตลาดได้ดีอย่างมากและสามารถหาจังหวะการลงทุนได้อย่างแม่นยำ แต่ความจริงแล้วตลาดหุ้นไม่มีใครควบคุมได้ สิ่งเดียวที่คุณควบคุมได้คือ "การบริหารความเสี่ยงของตัวเอง"
ตัวอย่างความเสี่ยงที่คุณต้องรับมือ
- ความเสี่ยงจากตลาด (Market Risk): ตลาดหุ้นสามารถพุ่งขึ้นหรือลงได้อย่างรุนแรงจากปัจจัยที่เราคาดไม่ถึง เช่น ดอกเบี้ย เศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในประเทศ
- ความเสี่ยงจากความผันผวน (Volatility Risk): หุ้นบางตัวเคลื่อนไหวรุนแรงกว่าหุ้นอื่นๆ ทำให้การเทรดต้องใช้จังหวะที่แม่นยำ
- ความเสี่ยงจากตัวคุณเอง (Emotional Risk): การเทรดด้วยอารมณ์ เช่น ความโลภและความกลัว เป็นปัจจัยที่ทำให้พอร์ตเสียหายได้มากกว่าตลาดหุ้น
Stop-Loss: กฎเหล็กของการปกป้องเงินทุน
"ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" อาจเป็นคำปลอบใจที่ดี แต่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง
การถือหุ้นหรือปล่อยให้การขาดทุนไหลไปเรื่อยๆ โดยหวังว่ามันจะกลับมาคืนทุน เป็นพฤติกรรมที่ทำให้นักลงทุนหลายคนต้องออกจากตลาดไปก่อนเวลาอันควร หนึ่งในวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบริหารความเสี่ยงคือ "การตั้ง Stop-Loss"
Stop-Loss คืออะไร?
หลายคนที่เป็นเทรดเดอร์อาจจะเข้าใจคำว่า Stop-Loss และใช้มันได้อย่างดีเยี่ยม Stop- Loss ก็คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ปิดสัญญาซื้อขายได้อัตโนมัติเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ เพื่อลดการขาดทุนที่มากขึ้น แต่ในบทบาทของการลงทุนระยะยาวการใช้ Stop Loss ก็คือ การที่นักลงทุนรู้ว่าควรขายสินทรัพย์นั้นออกไปเมื่อไหร่ก็ตามที่การลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาด
ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์รายวัน หรือเป็นนักลงทุนระยะยาว Stop-Loss ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ประเภทของ Stop-Loss สำหรับเทรดเดอร์
- Fixed Percentage Stop-Loss: กำหนดจุดตัดขาดทุนที่ 10%-15% จากราคาที่ซื้อ
- Trailing Stop-Loss: ให้จุด Stop-Loss เคลื่อนที่ตามราคาหุ้น เช่น หากหุ้นขึ้นจาก $100 ไป $120 Stop-Loss จะขยับขึ้นตาม เช่น 15% ต่ำกว่าราคาสูงสุด
- Volatility-Based Stop-Loss: ตั้ง Stop-Loss ตามความผันผวนของหุ้น ใช้ตัวชี้วัดอย่าง Average True Range (ATR)
สำหรับนักลงทุนระยาว การเชื่อว่าบริษัทหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนั้นจะกลับมาที่จุดราคาเดิม หรือจะกลับมาทำกำไรได้ อาจจะต้องใช้การวิเคราะห์พื้นฐานบริษัท ผลประกอบการ ผลกำไร รวมถึงเหตุผลที่หุ้นตัวนั้นราคาตกไปอยู่ ณ จุดที่คุณมีความคิดว่าจะขายมัน
แต่หากมันไม่เป็นไปตามที่คิด ให้นึกไว้เสมอว่า การขายขาดทุนไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาด แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงระยาวให้กับพอร์ตโฟลิโอของคุณเอง
การกระจายความเสี่ยงและอย่าฝากอนาคตไว้กับหุ้นเพียงตัวเดียว
หลายคนเชื่อมั่นในบริษัทและหุ้นบางตัวมากเกินไป จนทุ่มเงินทั้งหมดไปกับหุ้นเพียงไม่กี่ตัว หรือโฟกัสแค่กลุ่มอุตสาหกรรมเดียว แต่มันคือกับดักที่อันตรายที่สุดของนักลงทุน
ตัวอย่างจริงของการไม่กระจายความเสี่ยง
- นักลงทุนหลายคนในช่วงวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมปี 2000 ทุ่มเงินทั้งหมดไปกับหุ้นเทคโนโลยีเพราะคิดว่ามันเป็นอนาคต สุดท้ายเมื่อฟองสบู่แตก พอร์ตของพวกเขาพังเกือบทั้งหมด
- ในปี 2008 วิกฤติซับไพรม์ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ร่วงหนัก นักลงทุนที่ถือหุ้นในกลุ่มเดียวกันต้องเผชิญกับขาดทุนมหาศาล
วิธีการกระจายความเสี่ยงที่ได้ผล
- ถือหุ้นจากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี การแพทย์ พลังงาน และสินค้าอุปโภคบริโภค
- ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ ETF หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs)
- พิจารณาการลงทุนในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย เพื่อลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง
บทสรุป: การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจของความสำเร็จ
ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์ที่มองถึงการทำกำไรระยะสั้น หรือเป็นนักลงทุนระยะยาวที่เน้นการเติบโตของพอร์ต การบริหารความเสี่ยงคือสิ่งที่คุณไม่สามารถละเลยได้
สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้การบริหารความเสี่ยงมีประสิทธิภาพคือ การตั้ง Stop-Loss ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการขาดทุนที่รุนแรง ไม่ปล่อยให้การเทรดผิดพลาดเพียงครั้งเดียวส่งผลกระทบต่อพอร์ตทั้งหมด การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์ตัวเดียวมากเกินไป เพราะแม้แต่หุ้นที่แข็งแกร่งที่สุดก็สามารถเผชิญกับการปรับฐานที่คาดไม่ถึงได้ นอกจากนี้ การควบคุมอารมณ์ในการเทรด เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องฝึกฝน อย่าปล่อยให้ความโลภผลักให้คุณเข้าซื้อเกินกว่าที่ควร หรือให้ความกลัวทำให้คุณตัดสินใจขายออกเร็วเกินไป
เมื่อคุณสามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเทรดและการลงทุนของคุณจะมีความมั่นคงมากขึ้น และโอกาสในการเติบโตของพอร์ตจะเป็นไปได้อย่างยั่งยืน
คำถามสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์
- ตอนนี้คุณมีแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับพอร์ตของคุณแล้วหรือยัง?
- คุณเคยตั้ง Stop-Loss แล้วเปลี่ยนใจไม่ขายเพราะกลัวพลาดโอกาสกลับมาทำกำไรหรือไม่?
- คุณกระจายพอร์ตของคุณดีพอหรือยัง หรือยังถือหุ้นกระจุกอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวหรือเปล่า?
ถ้าคำตอบของคุณยังไม่ชัดเจน นี่อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นบริหารความเสี่ยงให้เป็นระบบ
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน