
เทรด Forex ให้รอดด้วยการเข้าใจวงจรตลาดอย่างมืออาชีพ
วงจรตลาด Forex คืออะไร
การเคลื่อนไหวของราคาคู่เงินในตลาด Forex ไม่ได้ขึ้นลงอย่างไร้เหตุผล แต่ถ้าคุณสังเกตให้ดี กราฟราคาจะมีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เกิดซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์จึงเรียกรูปแบบของการขยับของราคาแบบนี้ว่า วงจรตลาด Forex (Market Cycle) ซึ่งนักเทรดมืออาชีพใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์จังหวะเข้า–ออกออเดอร์ให้แม่นยำมากขึ้น
การเทรด Forex ด้วยการวิเคราะห์วงจรตลาด จึงไม่ใช่แค่การมองกราฟตามแนวโน้ม แต่คือการเข้าใจ “พฤติกรรมซ้ำ” ของตลาดในแต่ละช่วง และเลือกกลยุทธ์การเทรดที่สอดคล้องกับสภาวะนั้นให้เหมาะสมที่สุด
โดยทั่วไป วงจรตลาด Forex ประกอบด้วย 4 ระยะหลัก ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องกันตามพฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด หากคุณเข้าใจแต่ละช่วงอย่างลึกซึ้ง จะสามารถวางแผนการเทรดได้ตรงจังหวะ และลดความเสี่ยงจากการเข้าออเดอร์ผิดเวลาได้อย่างมาก
1. Accumulation - ระยะสะสมออเดอร์
ระยะนี้คือช่วงที่ราคาขยับอยู่ในกรอบแคบ ๆ แบบไม่มีทิศทางชัดเจน มักเกิดหลังจากที่ราคาเคลื่อนไหวรุนแรงหรือเพิ่งจบเทรนด์ใหญ่ เทรดเดอร์บางคนเรียกช่วงนี้ว่า “ตลาดนิ่ง” หรือ “Sideways” ซึ่งแท้จริงแล้วคือช่วงที่ผู้เล่นรายใหญ่ เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน กำลังทยอย “สะสมออเดอร์” โดยไม่ให้ตลาดรู้ตัว
สัญญาณของช่วงนี้:
-
แท่งเทียนขนาดเล็ก
-
วอลุ่มต่ำ
-
ราคาขึ้น–ลงสลับไปมาโดยไม่มีแนวโน้ม
กลยุทธ์:
รอดูว่าเมื่อไหร่ราคาจะ “เบรกกรอบ” เพื่อเตรียมเข้าสู่ระยะถัดไป
2. Markup (เกิดเทรนด์)
เมื่อมีแรงซื้อหรือขายมากพอที่จะผลักดันให้ราคาทะลุกรอบสะสม ตลาดจะเข้าสู่ช่วง Markup ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาวิ่งเป็นเทรนด์อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง
ช่วงนี้มักเป็นที่ชื่นชอบของเทรดเดอร์สายเทรนด์ เพราะสามารถเก็บกำไรได้ต่อเนื่องหากเข้าออเดอร์ในจังหวะที่เหมาะสม
สัญญาณของช่วงนี้:
-
ราคาทำ Higher High / Higher Low (ในขาขึ้น)
-
หรือ Lower High / Lower Low (ในขาลง)
-
วอลุ่มเพิ่มขึ้น
-
มีแรงตามฝั่งใดฝั่งหนึ่งชัดเจน
กลยุทธ์:
เทรดตามเทรนด์ โดยใช้แนวรับ–แนวต้าน, EMA หรือ Fibonacci เพื่อหาจุดเข้าซื้อเมื่อราคาย่อ
3. Distribution (กระจายออเดอร์)
หลังจากที่เทรนด์ดำเนินมาได้ระยะหนึ่ง แรงส่งจะเริ่มลดลง ผู้เล่นรายใหญ่เริ่ม “กระจายออเดอร์” ที่สะสมไว้ออกมา เทรนด์จึงเริ่มแผ่ว ราคาจะไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องอีกต่อไป
ช่วงนี้มักเกิด “ความสับสน” ในตลาด เพราะบางครั้งราคายังดูเหมือนจะไปต่อ แต่แรงฝั่งตรงข้ามเริ่มเข้ามามากขึ้นแล้ว
สัญญาณของช่วงนี้:
-
ราคาเริ่มแกว่งกว้าง (Wide Range)
-
มีการชนแนวต้านซ้ำบ่อยครั้ง
-
แท่งเทียนมีเงายาว
-
วอลุ่มสูงผิดปกติ แต่ราคาไม่วิ่งต่อ
กลยุทธ์:
เลี่ยงการเข้าออเดอร์ใหม่ รอความชัดเจนว่าเป็นการพักฐานหรือเตรียมกลับตัวจริง
4. Markdown (กลับตัว)
เมื่อแรงเทรนด์เดิมหมดลงจริง ๆ ตลาดจะเข้าสู่ระยะ Markdown หรือช่วงกลับตัว ราคาจะเริ่มวิ่งสวนทิศกับเทรนด์ก่อนหน้า และหากยืนยันได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแนวโน้มจริง นี่คือจุดเริ่มต้นของวงจรใหม่
สัญญาณของช่วงนี้:
-
ราคาหลุดแนวรับสำคัญ (ในเทรนด์ขาขึ้น) หรือทะลุแนวต้าน (ในเทรนด์ขาลง)
-
เกิดโครงสร้างกลับตัว เช่น Double Top, Head & Shoulders
-
วอลุ่มหนาแน่นในทิศตรงข้ามกับเทรนด์เดิม
กลยุทธ์:
รอจังหวะรีเทสต์แนวรับ–แนวต้านเดิม เพื่อเข้าออเดอร์ตามแนวโน้มใหม่
พัฒนาทักษะการเทรดของคุณไปอีกขั้นกับ IUX
สัมผัสแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักเทรดที่ต้องการข้อมูลที่แม่นยำ เครื่องมือวิเคราะห์ที่ครบถ้วน และระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเป็นระบบ รองรับทุกสภาวะตลาด พร้อมโอกาสสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
เปิดบัญชีกับ IUX วันนี้ เพื่อเริ่มต้นเทรดอย่างเป็นมืออาชีพและพัฒนากลยุทธ์ของคุณให้ก้าวล้ำกว่าเดิม
วิธีวิเคราะห์วงจรตลาดใน Forex ให้แม่นยำ
การวิเคราะห์วงจรตลาดใน Forex ให้แม่นยำ จำเป็นต้องดูองค์ประกอบหลายอย่างร่วมกัน ไม่ใช่แค่ดูทิศทางราคาเพียงอย่างเดียว
Timeframe ที่แนะนำ:
ใช้ Timeframe ใหญ่ เช่น H1, H4 หรือ Daily เพื่อดูโครงสร้างวงจร และซูมลงไปที่ M15 หรือ M30 เพื่อหาจุดเข้าออกที่แม่นยำขึ้น
การยืนยันด้วยเครื่องมือ:
-
Volume Profile: ดูพื้นที่สะสมหรือกระจายออเดอร์จากวอลุ่ม
-
Price Action: พิจารณารูปแบบแท่งเทียน เช่น เบรกกรอบ, เงายาว, หรือสัญญาณกลับตัว
-
Market Structure: สังเกต Higher High, Lower Low เพื่อจับการเปลี่ยนแนวโน้ม
สรุป
ตลาด Forex มีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เกิดซ้ำ เรียกว่า วงจรตลาด Forex ประกอบด้วย 4 ระยะ: Accumulation (สะสมออเดอร์), Markup (เกิดเทรนด์), Distribution (กระจายออเดอร์) และ Markdown (กลับตัว)
การเทรด Forex ด้วยการวิเคราะห์วงจรตลาดช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมราคา เลือกกลยุทธ์ให้เหมาะกับแต่ละช่วง และลดความเสี่ยงจากการเข้าออเดอร์ผิดจังหวะ
การวิเคราะห์ให้แม่นยำควรใช้ Timeframe ใหญ่ ประกอบกับ Volume Profile, Price Action และโครงสร้างราคา เพื่อยืนยันแนวโน้มของตลาดอย่างชัดเจน
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน