P/E Ratio vs P/BV vs PEG ใช้อะไรดูหุ้นดีที่สุด? เข้าใจ 3 ตัวชี้วัดยอดนิยมก่อนลงทุน

P/E Ratio vs P/BV vs PEG ใช้อะไรดูหุ้นดีที่สุด? เข้าใจ 3 ตัวชี้วัดยอดนิยมก่อนลงทุน

ผู้เริ่มต้น
May 20, 2025
เรียนรู้วิธีใช้ค่า P/E, P/BV และ PEG เพื่อวิเคราะห์หาหุ้นเติบโตกับหุ้นคุณค่า และตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด

ความหมายของ P/E, P/BV และ PEG คืออะไร

  • P/E Ratio (Price to Earnings Ratio)

P/E คือ ตัวชี้วัดที่บอกว่านักลงทุนยอมจ่ายเงินกี่บาทเพื่อแลกกับกำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาทของบริษัท โดยคำนวณจากราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS) เหมาะสำหรับประเมินความถูกหรือแพงของหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรปัจจุบัน

  • P/BV Ratio (Price to Book Value Ratio)

P/BV คือ อัตราส่วนที่เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท ซึ่งหมายถึงสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เหมาะกับหุ้นที่มีสินทรัพย์มั่นคง เช่น กลุ่มธนาคาร อสังหาฯ หรือพลังงาน

  • PEG Ratio (Price to Earnings Growth Ratio)

PEG คือ ตัวชี้วัดที่นำการเติบโตของกำไรมาร่วมพิจารณากับค่า P/E โดยคำนวณจาก P/E หารด้วยอัตราการเติบโตของกำไร เหมาะสำหรับหุ้นเติบโตที่มีโอกาสขยายตัวในอนาคต

 


 

ใช้ P/E, P/BV หรือ PEG ในการวิเคราะห์หุ้นเมื่อไหร่ดี

นักลงทุนหลายคนที่กำลังสนใจลงทุนในหุ้นเติบโต อย่างหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นที่กำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ค่า PEG จะช่วยให้มองภาพชัดขึ้นกว่าการใช้ P/E เพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งค่า P/E อาจสูงมาก(หุ้นราคาแพง) แต่ถ้า PEG ยังต่ำ แสดงว่าหุ้นนั้นยังมีมูลค่าน่าสนใจ

ในทางกลับกัน นักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นแบบเน้นคุณค่า ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีหรือมีกำไรสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มแบงก์หรือบริษัทพลังงาน การใช้ค่า P/E และค่า P/BV จะมีประโยชน์มากกว่า โดยค่า P/E จะช่วยบอกถึงความคุ้มค่าของกำไร ส่วนค่า P/BV จะชี้ว่าหุ้นราคาต่ำกว่าสินทรัพย์ที่ถืออยู่หรือไม่

สุดท้ายแล้วควรเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะกับประเภทของหุ้นและแนวทางการลงทุนของคุณ

 


 

จุดแข็ง-จุดอ่อนของแต่ละตัวชี้วัด

  • P/E เป็นตัวเลขที่เข้าใจง่าย เหมาะกับการวิเคราะห์หุ้นที่มีกำไรต่อเนื่อง แต่ไม่เหมาะกับหุ้นขาดทุน เพราะค่าที่ได้อาจทำให้เข้าใจผิดได้
  • P/BV เหมาะกับธุรกิจที่มีสินทรัพย์จำนวนมาก เช่น ธนาคารหรือโรงไฟฟ้า เพราะช่วยวัดความคุ้มค่าของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี แต่หากใช้กับบริษัทที่ใช้สินทรัพย์น้อย เช่น กลุ่มเทคโนโลยี อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
  • PEG เป็นตัวชี้วัดที่ให้มุมมองอนาคต เหมาะกับหุ้นที่กำลังเติบโตแรง หาก PEG ต่ำกว่า 1 มักหมายถึงหุ้นยังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโต แต่ต้องอาศัยการประมาณการกำไรในอนาคต ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่

การวิเคราะห์หาหุ้นที่เหมาะสมจะลงทุนด้วยค่าต่างๆที่รายงานออกมาจากบริษัทช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวม และผลประกอบการของบริษัทได้อย่างชัดเจนแน่นอนว่าการเลือกแพลตฟอร์มที่จะใช้ลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน 

IUX เราคือแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้น หรือมืออาชีพที่ต้องการความรวดเร็วในการส่งคำสั่ง ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และมีเครื่องมือวิเคราะห์ครบครัน รวมถึงการสนับสนุนจากทีมงานมืออาชีพที่พร้อมช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง

เริ่มต้นลงทุนอย่างมั่นใจ เลือกเทรดกับ IUX วันนี้ แล้วสร้างพอร์ตของคุณอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ของตลาด

 

P/E vs P/BV vs PEG – Which Metric is Best for Analyzing Stocks

 

ตัวอย่างการวิเคราะห์หุ้นด้วยค่า P/E, P/BV และ PEG

สิ่งที่นักลงทุนควรรู้ก่อนจะคำนวณค่า P/E, P/BV และ PEG มีดังนี้

    • กำไรต่อหุ้น (EPS) กำไรสุทธิของบริษัทที่เฉลี่ยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น โดยใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง
    • มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) คือมูลค่าทางการเงินของบริษัทที่คำนวณจากสินทรัพย์ทั้งหมดลบด้วยหนี้สินทั้งหมด แล้วหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่มีอยู่ในตลาด

ตัวอย่าง

สมมติว่าคุณกำลังสนใจ “หุ้น A” ซึ่งอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น บริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันบนคลาวด์ หรือการบริการออนไลน์ ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงมากในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา

    • ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 200 บาท

    • กำไรต่อหุ้น (EPS) ปีล่าสุดอยู่ที่ 5 บาท

    • อัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 30%

เมื่อคำนวณค่า P/E จะได้
P/E = 200 ÷ 5 = 40 เท่า
แสดงว่านักลงทุนในตลาดยอมจ่ายเงิน 40 บาท เพื่อให้ได้กำไร 1 บาทจากบริษัทนี้ในหนึ่งปี ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร

แต่ถ้ามองในมุมของการเติบโตจะคำนวณได้ดังนี้
PEG = 40 ÷ 30 = 1.33

แม้ค่า P/E ดูสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรแล้ว ค่า PEG ที่ 1.33 บ่งบอกว่าหุ้นยังมีความสมเหตุสมผลสำหรับการลงทุน โดยทั่วไปนักลงทุนจะมองว่า PEG ที่ต่ำกว่า 1 เป็นโอกาสที่ดีมาก และค่า PEG ระดับประมาณ 1 ถึง 1.5 ก็ยังถือว่าน่าสนใจสำหรับหุ้นเติบโตอยู่

สรุปในภาพรวม: หุ้น A แม้จะดูแพง ในแง่ของค่า P/E แต่หากบริษัทสามารถรักษาการเติบโตของกำไรในระดับ 30% ต่อปีได้จริง ราคาหุ้นอาจยังไม่สะท้อนมูลค่าทั้งหมด เหมาะกับนักลงทุนที่มองถึงการลงทุนระยะยาว และยอมรับความเสี่ยงได้มาก

 


 

ต่อมาคือ “หุ้น B” ซึ่งเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารที่มีสาขาทั่วประเทศ และรายได้ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม

    • ราคาหุ้นอยู่ที่ 40 บาท

    • กำไรต่อหุ้น (EPS) คือ 4 บาท

    • มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) อยู่ที่ 50 บาท

    • อัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี

เมื่อคำนวณค่า P/E จะได้
P/E = 40 ÷ 4 = 10 เท่า
แสดงว่าหุ้นนี้ยังไม่แพง เมื่อเทียบกับกำไรที่สร้างได้

แต่พอมาดูที่ค่า P/BV
P/BV = 40 ÷ 50 = 0.8
ผลปรากฏว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท หมายความว่านักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าทรัพย์สินสุทธิที่บริษัทถืออยู่

แต่ถ้านำมาคำนวณ PEG จะได้
PEG = 10 ÷ 5 = 2.0
ค่า PEG สูงกว่า 1 ค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าแม้ราคาหุ้นจะดูถูกจากค่า P/E และ P/BV แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรแล้ว หุ้นนี้ไม่ใช่หุ้นเติบโตได้มากในอนาคต

สรุปในภาพรวม: หุ้น B เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นความมั่นคงและต้องการลงทุนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงของบริษัท แม้จะไม่ได้หวังผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้น แต่ก็อาจได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอหรือการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะยาว

 

ในการวิเคราะห์หุ้น ไม่มีตัวชี้วัดใดที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะแต่ละตัวมีจุดเด่นที่เหมาะกับสถานการณ์แตกต่างกัน หากเป็นหุ้นที่มีกำไรมั่นคงและมีประวัติการดำเนินงานต่อเนื่อง ค่า P/E จะช่วยประเมินความคุ้มค่าของราคาหุ้นได้ดี ส่วนหุ้นที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก เช่น กลุ่มธนาคารหรืออสังหาริมทรัพย์ ควรดูค่า P/BV เพื่อเปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี ขณะที่หุ้นที่มีกำไรเติบโตเร็ว เช่น กลุ่มเทคโนโลยี การใช้ PEG จะช่วยวัดว่าราคาหุ้นเหมาะสมกับการเติบโตในอนาคตหรือไม่

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรใช้ตัวชี้วัดใดตัวเดียวในการตัดสินใจ ควรวิเคราะห์หลายปัจจัยประกอบกัน เช่น ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท สถานะกระแสเงินสด โครงสร้างหนี้ และแนวโน้มของอุตสาหกรรม เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนและสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

 

 

 

 

 

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน