
P/E Ratio vs P/BV vs PEG ใช้อะไรดูหุ้นดีที่สุด? เข้าใจ 3 ตัวชี้วัดยอดนิยมก่อนลงทุน
ความหมายของ P/E, P/BV และ PEG คืออะไร
-
P/E Ratio (Price to Earnings Ratio)
P/E คือ ตัวชี้วัดที่บอกว่านักลงทุนยอมจ่ายเงินกี่บาทเพื่อแลกกับกำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาทของบริษัท โดยคำนวณจากราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS) เหมาะสำหรับประเมินความถูกหรือแพงของหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรปัจจุบัน
-
P/BV Ratio (Price to Book Value Ratio)
P/BV คือ อัตราส่วนที่เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท ซึ่งหมายถึงสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เหมาะกับหุ้นที่มีสินทรัพย์มั่นคง เช่น กลุ่มธนาคาร อสังหาฯ หรือพลังงาน
-
PEG Ratio (Price to Earnings Growth Ratio)
PEG คือ ตัวชี้วัดที่นำการเติบโตของกำไรมาร่วมพิจารณากับค่า P/E โดยคำนวณจาก P/E หารด้วยอัตราการเติบโตของกำไร เหมาะสำหรับหุ้นเติบโตที่มีโอกาสขยายตัวในอนาคต
ใช้ P/E, P/BV หรือ PEG ในการวิเคราะห์หุ้นเมื่อไหร่ดี
นักลงทุนหลายคนที่กำลังสนใจลงทุนในหุ้นเติบโต อย่างหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นที่กำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ค่า PEG จะช่วยให้มองภาพชัดขึ้นกว่าการใช้ P/E เพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งค่า P/E อาจสูงมาก(หุ้นราคาแพง) แต่ถ้า PEG ยังต่ำ แสดงว่าหุ้นนั้นยังมีมูลค่าน่าสนใจ
ในทางกลับกัน นักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นแบบเน้นคุณค่า ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีหรือมีกำไรสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มแบงก์หรือบริษัทพลังงาน การใช้ค่า P/E และค่า P/BV จะมีประโยชน์มากกว่า โดยค่า P/E จะช่วยบอกถึงความคุ้มค่าของกำไร ส่วนค่า P/BV จะชี้ว่าหุ้นราคาต่ำกว่าสินทรัพย์ที่ถืออยู่หรือไม่
สุดท้ายแล้วควรเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะกับประเภทของหุ้นและแนวทางการลงทุนของคุณ
จุดแข็ง-จุดอ่อนของแต่ละตัวชี้วัด
- P/E เป็นตัวเลขที่เข้าใจง่าย เหมาะกับการวิเคราะห์หุ้นที่มีกำไรต่อเนื่อง แต่ไม่เหมาะกับหุ้นขาดทุน เพราะค่าที่ได้อาจทำให้เข้าใจผิดได้
- P/BV เหมาะกับธุรกิจที่มีสินทรัพย์จำนวนมาก เช่น ธนาคารหรือโรงไฟฟ้า เพราะช่วยวัดความคุ้มค่าของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี แต่หากใช้กับบริษัทที่ใช้สินทรัพย์น้อย เช่น กลุ่มเทคโนโลยี อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
- PEG เป็นตัวชี้วัดที่ให้มุมมองอนาคต เหมาะกับหุ้นที่กำลังเติบโตแรง หาก PEG ต่ำกว่า 1 มักหมายถึงหุ้นยังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโต แต่ต้องอาศัยการประมาณการกำไรในอนาคต ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่
การวิเคราะห์หาหุ้นที่เหมาะสมจะลงทุนด้วยค่าต่างๆที่รายงานออกมาจากบริษัทช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวม และผลประกอบการของบริษัทได้อย่างชัดเจนแน่นอนว่าการเลือกแพลตฟอร์มที่จะใช้ลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน
IUX เราคือแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้น หรือมืออาชีพที่ต้องการความรวดเร็วในการส่งคำสั่ง ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย ปลอดภัย และมีเครื่องมือวิเคราะห์ครบครัน รวมถึงการสนับสนุนจากทีมงานมืออาชีพที่พร้อมช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง
เริ่มต้นลงทุนอย่างมั่นใจ เลือกเทรดกับ IUX วันนี้ แล้วสร้างพอร์ตของคุณอย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ของตลาด
ตัวอย่างการวิเคราะห์หุ้นด้วยค่า P/E, P/BV และ PEG
สิ่งที่นักลงทุนควรรู้ก่อนจะคำนวณค่า P/E, P/BV และ PEG มีดังนี้
-
- กำไรต่อหุ้น (EPS) กำไรสุทธิของบริษัทที่เฉลี่ยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น โดยใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง
- มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) คือมูลค่าทางการเงินของบริษัทที่คำนวณจากสินทรัพย์ทั้งหมดลบด้วยหนี้สินทั้งหมด แล้วหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่มีอยู่ในตลาด
ตัวอย่าง
สมมติว่าคุณกำลังสนใจ “หุ้น A” ซึ่งอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น บริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันบนคลาวด์ หรือการบริการออนไลน์ ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงมากในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา
-
-
ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 200 บาท
-
กำไรต่อหุ้น (EPS) ปีล่าสุดอยู่ที่ 5 บาท
-
อัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 30%
-
เมื่อคำนวณค่า P/E จะได้
P/E = 200 ÷ 5 = 40 เท่า
แสดงว่านักลงทุนในตลาดยอมจ่ายเงิน 40 บาท เพื่อให้ได้กำไร 1 บาทจากบริษัทนี้ในหนึ่งปี ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร
แต่ถ้ามองในมุมของการเติบโตจะคำนวณได้ดังนี้
PEG = 40 ÷ 30 = 1.33
แม้ค่า P/E ดูสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรแล้ว ค่า PEG ที่ 1.33 บ่งบอกว่าหุ้นยังมีความสมเหตุสมผลสำหรับการลงทุน โดยทั่วไปนักลงทุนจะมองว่า PEG ที่ต่ำกว่า 1 เป็นโอกาสที่ดีมาก และค่า PEG ระดับประมาณ 1 ถึง 1.5 ก็ยังถือว่าน่าสนใจสำหรับหุ้นเติบโตอยู่
สรุปในภาพรวม: หุ้น A แม้จะดูแพง ในแง่ของค่า P/E แต่หากบริษัทสามารถรักษาการเติบโตของกำไรในระดับ 30% ต่อปีได้จริง ราคาหุ้นอาจยังไม่สะท้อนมูลค่าทั้งหมด เหมาะกับนักลงทุนที่มองถึงการลงทุนระยะยาว และยอมรับความเสี่ยงได้มาก
ต่อมาคือ “หุ้น B” ซึ่งเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารที่มีสาขาทั่วประเทศ และรายได้ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
-
-
ราคาหุ้นอยู่ที่ 40 บาท
-
กำไรต่อหุ้น (EPS) คือ 4 บาท
-
มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) อยู่ที่ 50 บาท
-
อัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี
-
เมื่อคำนวณค่า P/E จะได้
P/E = 40 ÷ 4 = 10 เท่า
แสดงว่าหุ้นนี้ยังไม่แพง เมื่อเทียบกับกำไรที่สร้างได้
แต่พอมาดูที่ค่า P/BV
P/BV = 40 ÷ 50 = 0.8
ผลปรากฏว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท หมายความว่านักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าทรัพย์สินสุทธิที่บริษัทถืออยู่
แต่ถ้านำมาคำนวณ PEG จะได้
PEG = 10 ÷ 5 = 2.0
ค่า PEG สูงกว่า 1 ค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนว่าแม้ราคาหุ้นจะดูถูกจากค่า P/E และ P/BV แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรแล้ว หุ้นนี้ไม่ใช่หุ้นเติบโตได้มากในอนาคต
สรุปในภาพรวม: หุ้น B เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นความมั่นคงและต้องการลงทุนในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงของบริษัท แม้จะไม่ได้หวังผลตอบแทนจากการเติบโตของราคาหุ้น แต่ก็อาจได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอหรือการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะยาว
ในการวิเคราะห์หุ้น ไม่มีตัวชี้วัดใดที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะแต่ละตัวมีจุดเด่นที่เหมาะกับสถานการณ์แตกต่างกัน หากเป็นหุ้นที่มีกำไรมั่นคงและมีประวัติการดำเนินงานต่อเนื่อง ค่า P/E จะช่วยประเมินความคุ้มค่าของราคาหุ้นได้ดี ส่วนหุ้นที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก เช่น กลุ่มธนาคารหรืออสังหาริมทรัพย์ ควรดูค่า P/BV เพื่อเปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี ขณะที่หุ้นที่มีกำไรเติบโตเร็ว เช่น กลุ่มเทคโนโลยี การใช้ PEG จะช่วยวัดว่าราคาหุ้นเหมาะสมกับการเติบโตในอนาคตหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรใช้ตัวชี้วัดใดตัวเดียวในการตัดสินใจ ควรวิเคราะห์หลายปัจจัยประกอบกัน เช่น ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท สถานะกระแสเงินสด โครงสร้างหนี้ และแนวโน้มของอุตสาหกรรม เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนและสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่งในระยะยาว
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน