
Passive Investing และ Active Investing แตกต่างกันอย่างไร กลยุทธ์การลงทุนแบบใดที่ตอบโจทย์
Passive Investing และ Active Investing คืออะไร?
-
Passive Investing คืออะไร?
Passive Investing หรือการลงทุนแบบเชิงรับ เป็นแนวทางที่เน้นการลงทุนตามดัชนีตลาด เช่น S&P 500 หรือ MSCI World Index นักลงทุนจะไม่พยายามเลือกหุ้นรายตัว แต่ใช้กองทุนดัชนีหรือ ETF ที่ออกแบบให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับดัชนี การลงทุนแนวนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างพอร์ตในระยะยาว และไม่ต้องการเฝ้าตลาดบ่อย
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Passive Investing ได้ที่บทความ Passive Investing คืออะไร?
-
Active Investing คืออะไร?
Active Investing หรือการลงทุนแบบเชิงรุก เป็นแนวทางที่นักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์ เลือกหุ้น หรือสินทรัพย์ที่คิดว่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด การจัดพอร์ตมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามภาวะเศรษฐกิจและทิศทางของตลาด
อ่านเพิ่มเติมแบบเจาะลึกเกี่ยวกับ Active Investing กับ Passive Investing
การลงทุนแบบ Passive และ Active มีอะไรบ้าง
การลงทุนแบบ passive หรือการลงทุนเชิงรับ ส่วนใหญ่จะเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่ไม่มีเวลาเลือกหุ้นรายตัวหรือวิเคราะห์ตลาดมากนัก นักลงทุนส่วนใหญ่จึงเลือกลงทุนในรูปแบบของ กองทุน มากกว่าการลงทุนแบบ active หรือการลงทุนเชิงรุกที่จะเน้นไปที่กองทุนหรือหุ้นรายตัวที่มีอนาคตจะเติบโตได้สูงโดยเป้าหมายหลักคือ การเอาชนะตลาด
กองทุนแบบ Passive Fund มีอะไรบ้าง?
- กองทุนดัชนีหุ้นโลก เช่น MSCI World, S&P 500
- กองทุนตราสารหนี้ เช่น Bloomberg Global Bond Index
- กองทุนทองคำ หรือ ETF ทองคำ เช่น SPDR Gold Shares
นักลงทุนหลายคนมักจัดพอร์ตในสัดส่วนโดยประมาณ เช่น 60% หุ้นโลก / 30% ตราสารหนี้ / 10% ทองคำ เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยม เพราะเข้าใจง่าย และครอบคลุม 3 สินทรัพย์หลักในการกระจายความเสี่ยง แนวทางนี้เรียกว่า 3-Asset Portfolio เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบเรียบง่าย ถือยาว และปล่อยให้ตลาดทำงานแทนเรา 1
กองทุน Active Fund มีอะไรบ้าง?
การลงทุนแบบ Active นอกจากการซื้อหุ้นรายตัวแล้ว ยังมีสินทรัพย์อย่างกองทุนแบบ Active ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท เช่น
- กองทุนหุ้นเติบโต (Growth Fund) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี หรือธุรกิจนวัตกรรม
- กองทุนหุ้นคุณค่า (Value Fund) ลงทุนในหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน โดยหวังว่าจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว
- กองทุนผสม (Mixed Asset Fund) กระจายลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้
กองทุนเหล่านี้มีความเสี่ยงกว่าเพราะผู้จัดการกองทุนพยายามเลือกสินทรัพย์เพื่อเอาชนะตลาด ค่าใช้จ่ายจึงสูงขึ้น และพอร์ตมีโอกาสผันผวนมากกว่าแบบ Passive 2
ความแตกต่างระหว่าง Passive Investing และ Active Investing
Passive Investing คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่ติดตามดัชนีตลาด เช่น S&P 500 หรือ MSCI World โดยไม่พยายามเลือกหุ้นรายตัว กลยุทธ์นี้เน้นการถือระยะยาว มี ค่าธรรมเนียมต่ำ ไม่ต้องปรับพอร์ตบ่อย และช่วยลดอิทธิพลของอารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบเรียบง่ายและมั่นคง
นักลงทุนแบบ Passive มักใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging) คือการทยอยลงทุนจำนวนเงินเท่า ๆ กันในทุกเดือน เพื่อกระจายต้นทุน ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด และสร้างวินัยในการลงทุนระยะยาว
ในทางกลับกัน Active Investing คือแนวทางที่เน้นการวิเคราะห์ตลาด คัดเลือกหุ้น ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ เพื่อหวังสร้างผลตอบแทนที่ เหนือกว่าตลาด กลยุทธ์นี้อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในบางช่วง แต่ต้องแลกมากับ ค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า ความผันผวนที่มากขึ้น และต้องใช้เวลา ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการตัดสินใจ
ที่ IUX เราออกแบบแพลตฟอร์มให้เหมาะกับนักลงทุนทุกระดับตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่ติดตามดัชนีชั้นนำ เครื่องมือวิเคราะห์ที่ใช้งานง่าย ไปจนถึงระบบช่วยลงทุนอัตโนมัติ คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนแบบ DCA ได้ภายในไม่กี่คลิก พร้อมกำหนดแผนการลงทุนรายเดือนตามเป้าหมายของคุณ
สมัครและร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ IUX วันนี้ แล้วเริ่มสร้างพอร์ตของคุณไปกับเรา
ข้อดี-ข้อเสียของ Passive Investing และ Active Investing
ข้อดีของ Passive Investing
-
ค่าธรรมเนียมต่ำ
-
ไม่ต้องเฝ้าตลาดทุกวัน
-
เหมาะกับผู้ที่มีงานประจำหรือไม่มีเวลาวิเคราะห์หุ้น
-
ลดอารมณ์จากการตัดสินใจลงทุนผิดพลาด
ข้อเสียของ Passive Investing
-
ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ในช่วงที่มีโอกาส
-
ต้องยอมรับการลงทุนในหุ้นทุกตัวที่อยู่ในดัชนี แม้บางตัวอาจไม่น่าสนใจ
ข้อดีของ Active Investing
-
มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าตลาด
-
ปรับพอร์ตได้ตามสถานการณ์เศรษฐกิจ
-
เหมาะกับผู้มีทักษะการวิเคราะห์ขั้นสูง
ข้อเสียของ Active Investing
-
ค่าธรรมเนียมสูง
-
ความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาดจากอารมณ์หรือข้อมูลผิด
ลงทุน Passive Investing หรือ Active Investing แบบไหนดีกว่ากัน?
การเลือกระหว่าง Passive และ Active Investing ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะแต่ละแนวทางเหมาะกับคนที่มีเป้าหมายและวิธีคิดต่างกัน
-
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ ไม่มีเวลาติดตามตลาด และมองการลงทุนระยะยาวเพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างมั่นคง Passive Investing อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุด
-
แต่ถ้าคุณพร้อมศึกษาข้อมูล มีประสบการณ์ และรับความเสี่ยงได้ดี Active Investing อาจสร้างโอกาสในการทำผลตอบแทนที่สูงกว่า
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่เลือกแนวทางไหนดีกว่า แต่คือการเลือกให้ สอดคล้องกับตัวคุณเอง ทั้งเป้าหมายทางการเงิน ไลฟ์สไตล์ และความถนัดในการลงทุน
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน