ค่า P/E เท่าไหร่ถึงเรียกว่าหุ้น "ถูก" หรือ "แพง"

ค่า P/E เท่าไหร่ถึงเรียกว่าหุ้น "ถูก" หรือ "แพง"

ผู้เริ่มต้น
May 13, 2025
เรียนรู้วิธีใช้ค่า P/E เพื่อแยกแยะหุ้นราคาถูกกับหุ้นราคาแพง เปรียบเทียบหุ้นเติบโตกับหุ้นคุณค่า และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่นักลงทุนมักทำ

ค่า P/E เท่าไหร่ถึงเรียกว่าหุ้น "ถูก" หรือ "แพง"

ก่อนซื้อหรือลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักใช้ค่า P/E ในการเปรียบเทียบราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น เช่น ถ้าค่า P/E อยู่ที่ 10 เท่า หมายถึง นักลงทุนกำลังจ่ายเงิน 10 บาท เพื่อซื้อหุ้นที่ทำกำไรได้ 1 บาทต่อปี

  • หุ้นที่มี P/E ต่ำ (เช่น ต่ำกว่า 10 เท่า): อาจถูกมองว่าเป็นหุ้นราคาถูก แต่นักลงทุนต้องระวังไว้เสมอว่าหุ้นเหล่านี้อาจกำลังเจอปัญหาทางธุรกิจ หรืออยู่ในแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ถดถอย จึงถูกนักลงทุนตีมูลค่าในตลาดในระดับต่ำ

  • หุ้นที่มี P/E สูง (เช่น มากกว่า 20-30 เท่า): มักเป็นหุ้นที่ตลาดคาดหวังการเติบโตสูงในอนาคต นักลงงทุนจึงยอมจ่ายแพงเพื่ออนาคตที่ดีกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงหากการเติบโตไม่เป็นไปตามคาด

ดังนั้น การจะดูว่าหุ้นมีค่า P/E ถูกหรือแพง ไม่ควรพิจารณาจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นตัวนั้นในอดีต หรือเทียบกับหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

 


 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า P/E Ratio ของหุ้น

ค่า P/E Ratio ของแต่ละบริษัทไม่ได้มาจากตัวเลข EPS(กำไรสุทธิต่อหุ้น) เพียงอย่างเดียว แต่มีหลายปัจจัยที่เข้ามามีผล เช่น

  • แนวโน้มการเติบโต : ยิ่งบริษัทมีโอกาสโตสูง ตลาดจะให้ P/E สูงขึ้น

  • ความเสี่ยงของธุรกิจ: ธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อาจมี P/E สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ผันผวน

  • สภาพตลาดโดยรวม: ในช่วงตลาดขาขึ้น นักลงทุนยอมรับได้ว่าค่า P/E ของแต่ละบริษัทจะสูงขึ้น

  • ดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อ: ดอกเบี้ยสูงทำให้ค่า P/E ลดลง เพราะนักลงทุนมีตัวเลือกอื่นที่ให้ผลตอบแทนคุ้มกว่า

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อราคาหุ้นและโอกาสในการสร้างพอร์ตการลงทุนของคุณ ซึ่งการมีแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้อย่าง IUX จะช่วยยกระดับการลงทุนให้เป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น ด้วยระบบฝากเงินและซื้อขายที่รวดเร็วภายในเสี้ยววินาที ช่วยให้คุณไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญของตลาด แม้ในช่วงที่ตลาดผันผวน

สมัครเทรดกับ IUX วันนี้ เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสในการพัฒนาพอร์ตการลงทุนที่ดียิ่งกว่าเดิม

 


 

ค่ามาตรฐาน P/E ของหุ้น

ถึงแม้จะไม่มีค่าตายตัว แต่โดยทั่วไปแล้ว ค่า P/E Ratio ของตลาดหุ้นทั่วโลกจะอยู่ในช่วงประมาณ 15-20 เท่า (ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและสภาวะเศรษฐกิจ)

  • หุ้นทั่วไปในตลาดสหรัฐฯ: มักมีค่า P/E อยู่ในช่วงประมาณ 15-20 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับเฉลี่ยของตลาดโดยรวมในสภาวะปกติ
  • หุ้นเติบโตสูง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี (Apple, Nvidia, Tesla): มักมีค่า P/E สูงถึง 30-50 เท่า หรือมากกว่านั้น เพราะนักลงทุนคาดหวังการเติบโตที่รวดเร็วและต่อเนื่อง
  • หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค เช่น น้ำ ไฟ ก๊าซ (Duke Energy, NextEra Energy): มักมี P/E ต่ำกว่า 15 เท่า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอแต่เติบโตช้า

 


 

หุ้นเติบโต กับ หุ้นคุณค่า ดูจากค่า P/E ได้อย่างไร

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในหมู่นักลงทุนก็คือ การดู P/E แล้วสรุปว่าหุ้นตัวนั้นถูกหรือแพง โดยไม่สนใจลักษณะของหุ้น

  • หุ้นเติบโต (Growth Stock): มักมี P/E สูง เพราะตลาดคาดหวังรายได้และกำไรจะโตอย่างรวดเร็วในอนาคต เช่น หุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นที่กำลังขยายตลาดใหม่ๆ นักลงทุนต้องยอมรับว่าหุ้นประเภทนี้อาจมี P/E สูงถึง 50 เท่าได้โดยไม่ถือว่าแพง หากการเติบโตเป็นไปตามแผน

  • หุ้นคุณค่า (Value Stock): มักมี P/E ต่ำกว่าตลาด เพราะเป็นหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางปัจจัยพื้นฐาน เช่น หุ้นธนาคาร หุ้นพลังงานบางตัวที่ราคาตกจากวิกฤตตลาดหุ้น แต่บริษัทยังมีกำไรสม่ำเสมอ

ดังนั้น การดู P/E ให้ถูกต้อง ควรรู้ก่อนว่าหุ้นนั้นจัดอยู่ในกลุ่มไหน แล้วเปรียบเทียบ P/E กับหุ้นในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น

 


 

ใช้ P/E อย่างไรให้เป็นประโยชน์ในการลงทุน

P/E Ratio เป็นเครื่องมือเบื้องต้นที่ช่วยนักลงทุนคัดกรองหุ้นได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ควรใช้เป็นตัวชี้วัดเดียวในการตัดสินใจ เพราะยังมีหลายปัจจัยที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลข เช่น คุณภาพของธุรกิจ อัตราเติบโต ความเสี่ยง และสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจ

เคล็ดลับง่ายๆคือ

  • เปรียบเทียบ P/E ของหุ้นกับกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น

  • วิเคราะห์แนวโน้มกำไรในอนาคต

  • ใช้ควบคู่กับตัวชี้วัดอื่น เช่น P/BV, ROE และกระแสเงินสด

สุดท้าย อย่าลืมว่าหุ้นถูกในวันนี้ อาจแพงในวันหน้า หากพื้นฐานเปลี่ยน และหุ้นแพงในวันนี้ อาจยังคุ้มค่าในการลงทุนถ้าบริษัทมีอนาคตสดใส

 

 

 

 

 

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน