
P/E Ratio คืออะไร? วิเคราะห์หุ้นอย่างมืออาชีพ เริ่มจากตรงนี้!
ค่า P/E Ratio คืออะไร?
หลายคนคงเคยได้ยินเพื่อนนักลงทุนหรือผู้เชี่ยวชาญพูดถึง P/E หรือ Price-to-Earnings Ratio อยู่บ่อยๆ หากจะูพดง่ายๆมันก็คือ “ราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (EPS)” หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆกว่านั้น ก็คือ เราจ่ายเงินซื้อหุ้นไปกี่บาท เพื่อจะได้กำไรกลับคืนมาปีละกี่บาท
แล้วค่า EPS มาจากไหน?
EPS หรือ Earnings Per Share หรือ กำไรสุทธิต่อหุ้น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าบริษัทมีกำไรสุทธิต่อหุ้นสามัญอยู่ที่เท่าไรในช่วงเวลาหนึ่ง (มักใช้รายปีหรืออาจจะเป็นรายไตรมาส) โดยคำนวณจากสูตรนี้ :
EPS = กำไรสุทธิของบริษัท ÷ จำนวนหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าบริษัท A มีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาทในปีนั้น และมีจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 50 ล้านหุ้น
จะได้ EPS = 100,000,000 ÷ 20,000,000 = 5 บาท/หุ้น
หลังจากได้ค่า EPS มาแล้ว ก็จะคำนวณได้ดังนี้
หุ้นบริษัท A มีราคา 50 บาท และมีค่า EPS อยู่ที่ 5 บาท/หุ้น (ในช่วง 1 ปีนั้น)
P/E = 50 ÷ 5 = 10 เท่า
แปลว่า ถ้าบริษัททำกำไรได้เท่านี้ทุกปี เราจะใช้เวลา 10 ปีในการคืนทุน
หุ้น P/E ต่ำ คือของถูกจริงหรือ?
หลายคนเข้าใจว่า P/E ต่ำ = หุ้นราคาถูก = น่าซื้อทันที
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย หุ้นที่มีค่า P/E ต่ำ อาจไม่ได้หมายความว่าราคาถูกเสมอไป แต่บางมันครั้งมันอาจสะท้อนว่า บริษัทนี้ทำกำไรได้ไม่แน่นอน หรือนักลงทุนไม่มั่นใจอนาคตของบริษัท
มีหลายครั้งที่บริษัทหนึ่งมีรายได้ดีมากจากการขายสินทรัพย์แค่ครั้งเดียวใน 1 ปี ส่งผลทำให้ตัวเลข EPS สูงในปีนั้น แต่ในปีถัดไป บริษัทอาจกำไรแบบนั้นไม่ได้อีก และทำให้นักลงทุนไม่ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท หลังจากดีมานด์ลดลงและราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้น ค่า P/E หลังจากคำนวณแล้วก็เลยดูต่ำ แต่จริงๆ แล้วการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นอาจเรียกได้ว่าไม่มั่นคงเลยก็ว่าได้
แล้วถ้า P/E สูงล่ะ? หุ้นแพงเกินไปหรือเปล่า?
หุ้นที่มี P/E สูง อาจไม่ได้แปลว่าแพงเสมอไป แต่มันอาจสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุน
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มนวัตกรรม หรือหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ที่นักลงทุนทุกคนคาดว่ากำไรในอนาคตจะโตแบบก้าวกระโดด นักลงทุนจึงยอมจ่ายแพงในวันนี้เพื่ออนาคตที่สดใสของบริษัท
ยกตัวอย่างเช่น
บริษัท B มี EPS อยู่ที่ 1 บาท แต่ราคาหุ้น 100 บาท = P/E 100 เท่า หากจะคิดง่ายๆก็คือคุณต้องใช้เวลาคืนทุน 100 ปี
นี่อาจจะฟังดูเกินจริง แต่บริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมเปลี่ยนโลกเหล่านี้ดำเนินงานและทำกำไรได้แบบก้าวกระโดด ถ้าปีหน้าค่า EPS ของบริษัทนี้โตอีก 100% กลายเป็น 2 บาท แล้วโตอีกต่อเนื่องในปีถัดๆไป ในที่สุดค่า P/E จะลดลงเองหากราคาหุ้นไม่ปรับขึ้นตาม
วิเคราะห์หุ้นด้วย P/E ยังไงให้ได้ผลดีที่สุด?
-
ดู P/E เทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
หุ้นกลุ่มเดียวกันมักจะมี P/E ใกล้เคียงกัน เช่น กลุ่มแบงก์อาจเฉลี่ยอยู่ที่ 8–12 เท่า แต่ถ้าหุ้นแบงก์ตัวไหน P/E แค่ 5 เท่า ก็ควรสงสัยว่า “ถูกเพราะอะไร?”
-
เทียบกับ P/E ในอดีตของบริษัท
ถ้า P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 20 เท่า แต่ตอนนี้เหลือ 12 เท่าอาจเป็นโอกาส หรือเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังมีปัญหา
-
ใช้คำนวณร่วมกันกับ Forward P/E
Forward P/E คือการเอาราคาหุ้นไปหารกับ “การคาดการณ์กำไรในอนาคต” ช่วยให้เห็นว่าตลาดมองอนาคตบริษัทไว้ยังไง ซึ่งเหมาะกับหุ้นที่มีการเติบโตสูง
เทคนิคแยก P กับ E ออกจากกัน
-
ถ้า “P” (ราคาหุ้น) พุ่งขึ้นเร็วแต่กำไรยังไม่โต แปลว่าตลาดกำลัง “เล่นข่าว” หรือ Re-rating(การประเมินมูลค่าใหม่ให้สูงขึ้น)
หมายความว่านักลงทุนในตลาด คาดหวังล่วงหน้าว่าบริษัทจะได้ดีในอนาคตโดยมีข้อมูลเพียงน้อยนิด
-
ถ้า “E” (กำไร) โตต่อเนื่อง แต่ P/E ลดลง แสดงว่าราคาหุ้นยังไม่ขึ้นตามกำไรจริงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าหุ้นอาจยังถูกประเมินมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า undervalued
นักลงทุนมืออาชีพจึงมักดูทั้ง P, E และความสัมพันธ์ระหว่างกัน มากกว่าจะดูแค่ตัวเลข P/E เฉยๆ
นอกจากการวิเคราะห์ตัวเลขต่างๆ ของบริษัทในการเลือกหุ้นที่จะลงทุนแล้ว การเลือกแพลตฟอร์มก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะแพลตฟอร์มที่ดีจะช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูล วิเคราะห์หุ้น และดำเนินการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
IUX คือแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อนักลงทุนทุกระดับ ตั้งแต่มือใหม่จนถึงมืออาชีพ ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย เครื่องมือครบครัน และการดำเนินการซื้อขายที่รวดเร็ว ช่วยให้คุณไม่พลาดทุกโอกาสในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นคุณค่าหรือหุ้นเติบโต
เปิดบัญชีกับ IUX วันนี้ แล้วเริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนของคุณอย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจยิ่งขึ้น
หุ้นมูลค่า vs หุ้นเติบโต ใช้ P/E ต่างกันยังไง?
-
หุ้นมูลค่า (Value Stocks): P/E มักต่ำ เหมาะกับคนชอบหุ้นราคาถูก เน้นพื้นฐานมั่นคง เช่น หุ้นพลังงาน หุ้นธนาคาร
-
หุ้นเติบโต (Growth Stocks): P/E มักสูงเพราะคนคาดหวังกำไรในอนาคต เช่น กุ้นเทคโนโลยี สุขภาพ และนวัตกรรม
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า P/E เท่าไหร่ถึงเหมาะสม?
ความเหมาะสมของค่า P/E ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีหลักคิดคร่าวๆดังนี้
-
P/E ต่ำกว่า 10 = อาจน่าสนใจ แต่ต้องเช็คว่ากำไรที่ทำได้นั้นยั่งยืนหรือไม่
-
P/E 10–20 = เป็นค่าเฉลี่ยปกติในหลายอุตสาหกรรม
-
P/E > 30 = เจอในหุ้นเติบโตสูง หรืออาจกำลัง overvalued หรือถูกตีมูลค่าเกินจริงก็ได้
วิธีที่ดีคือ “คำนวณเป้าหมายราคา” ด้วยสูตรต่อไปนี้
สมมติเราคาดว่าบริษัท B จะมีกำไรต่อหุ้น (EPS) ปีหน้าอยู่ที่ 2 บาท (ดูจากผลประกอบการย้อนหลัง)
และเราคิดว่าหุ้นบริษัทนี้ควรที่จะมีค่า P/E อยู่ที่ 15 เท่า (โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมหรือคุณภาพธุรกิจเดียวกัน)
เราก็เอา 2 บาท x 15 เท่า = ราคาหุ้นเป้าหมาย 30 บาท
ถ้าตอนนี้ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 20 บาท นั่นแปลว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคาด ราคาหุ้นมีโอกาสขึ้นไปถึง 30 บาท หรือโตได้อีก 50% และนั่นถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการลงทุน
P/E Ratio เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งในการประเมินมูลค่าหุ้น แต่การจะลงทุนให้แม่นยำ ต้องดูทั้ง “ราคาหุ้นวันนี้” กับ “กำไรในวันหน้า” ควบคู่ไปด้วย อย่ามองแค่ตัวเลขต่ำหรือสูง แต่ให้นักลงทุนทุกคนตระหนักเสมอว่า ตัวเลขนั้น สมเหตุสมผลกับธุรกิจนี้หรือเปล่า?
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการศึกษาในเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน